- ข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร
- สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์
- รายละเอียดสถานการณ์ผลิดและการตลาด
สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 18-24 กันยายน 2563
ข้าว
1) สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์และอุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 28.786 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว
2.1) การวางแผนการผลิตข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการวางแผนการผลิตข้าว ปี 2563/64
รวม 69.409 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก จำแนกเป็น รอบที่ 1พื้นที่ 59.884 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 24.738 ล้านตันข้าวเปลือก และรอบที่ 2 พื้นที่ 9.525 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 6.127 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถปรับสมดุลการผลิตได้ในการวางแผนรอบที่ 2 หากราคามีความอ่อนไหว ความต้องการใช้ข้าวลดลง และสถานการณ์น้ำน้อย รวมทั้งการปรับลดพื้นที่การปลูกข้าวไปปลูกพืชอื่น โดยจะมีการทบทวนโครงการ
ลดรอบการปลูกข้าวก่อนฤดูกาลเพาะปลูกข้าวรอบที่ 2
2.2) การจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 จำนวน 59.884 ล้านไร่ แยกเป็น 1) ข้าวหอมมะลิ 27.500 ล้านไร่ ผลผลิต 9.161 ล้านตันข้าวเปลือก 2) ข้าวหอมไทย 2.084 ล้านไร่ ผลผลิต 1.396 ล้านตันข้าวเปลือก 3) ข้าวเจ้า 13.488 ล้านไร่ ผลผลิต 8.192 ล้านตันข้าวเปลือก 4) ข้าวเหนียว 16.253 ล้านไร่ ผลผลิต 5.770 ล้านตันข้าวเปลือก และ 5) ข้าวตลาดเฉพาะ 0.559 ล้านไร่ ผลผลิต 0.219 ล้านตันข้าวเปลือก
2.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
2.4) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่โครงการส่งเสริมระบบนาแบบแปลงใหญ่โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวกข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม (กข79) และโครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าว
2.5) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย
2.6) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการชาวนาปราดเปรื่อง
2.7) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ โครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวคุณภาพดีเพื่อการแข่งขัน และโครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่มพันธุ์ใหม่
2.8) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศ
4.1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร และโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ
4.2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกและโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศ
5.1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ การเจรจาขยายตลาดข้าวและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าในต่างประเทศ โครงการกระชับความสัมพันธ์ และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทยเพื่อขยายตลาดไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น
5.2) ส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าวและนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและขยายตลาดข้าวไทยเชิงรุก โครงการผลักดันข้าวหอมมะลิไทยคุณภาพดีจากแหล่งผลิตสู่ตลาดโลก โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ โครงการจัดประชุม Thailand Rice Convention 2021 และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์
5.3) ส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐาน และปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย
5.4) ประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยในตลาดข้าวต่างประเทศ
2) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกร
ผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้
กรณีเกษตรกรเพาะปลูกข้าวมากกว่า 1 ชนิด ได้สิทธิ์ไม่เกินจำนวนขั้นสูงของข้าวแต่ละชนิด เมื่อรวมกันต้องไม่เกินขั้นสูงของชนิดข้าวที่กำหนดไว้สูงสุดและได้สิทธิ์ตามลำดับระยะเวลาที่แจ้งเก็บเกี่ยวข้าวแต่ละชนิด
2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563
2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 -
28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่
วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ
2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ ได้ประกาศราคาอ้างอิง งวดที่ 1 - 4 ทุก 15 วัน โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562 สำหรับงวดที่ 5 เป็นต้นไป ได้ปรับการประกาศใหม่เป็นทุกวันศุกร์
(ทุก 7 วัน) เพื่อให้ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในช่วงที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวและจำหน่ายข้าว
3) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิต
ให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ วงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท ดังนี้
3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม - 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม - 30 เมษายน 2563
4) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11ธันวาคม 2562 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว
ปีการผลิต 2562/63 จำนวน 26,458.89 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพ
อยู่ได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้นรวมถึง
เพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
4.1) กลุ่มเป้าหมาย เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) จำนวนประมาณ 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อยอัตราไร่ละ 500 บาทครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดยพื้นที่เพาะปลูก
ที่ได้รับการช่วยเหลือต้องไม่ซ้ำซ้อนกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติจากรัฐบาลแล้วเว้นแต่เกษตรกรจะนำพื้นที่ประสบภัยนั้นไปแจ้ง กสก. เพื่อเพาะปลูกข้าวใหม่ทันในช่วงเวลาเพาะปลูกรอบที่ 1
4.2) ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 30 กันยายน 2563
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 12,958 บาท ราคาลดลงจากตันละ 13,412 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.38
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 9,305 บาท ราคาลดลงจากตันละ 9,307 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.02
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 31,050 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,990 บาท ราคาลดลงจากตันละ 14,110 บาท ในสัปดาห์ก่อน
ร้อยละ 0.85
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 922 ดอลลาร์สหรัฐฯ (28,639 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 931 ดอลลาร์สหรัฐฯ (28,843 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.97 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ204 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 492 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,282 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 513 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,893 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.09 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 611 บาท
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 477 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,816 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 494 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,305 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.44 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 489 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 505 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,686 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 509 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,769 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.79 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 83 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 31.0617 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
เวียดนาม
วงการค้าข้าวคาดการณ์ว่า ราคาข้าวปรับตัวลดลงเนื่องจากผลผลิตข้าวฤดูใหม่ คือ ฤดูใบไม้ร่วง-ฤดูหนาว
(The Autumn-Winter Crop) ออกสู่ตลาด ขณะที่ในต่างประเทศมีความต้องการข้าวลดลง โดยข้าวขาว 5% ราคาอยู่ที่ประมาณ 485-490 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน ลดลงจาก 490-495 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อน โดยผู้ซื้อข้าวรายใหญ่อย่างประเทศฟิลิปปินส์ จะชะลอการซื้อข้าวไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน เนื่องจากจะมีการเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวภายในประเทศ
กรมศุลกากรเวียดนาม (The Customs Department) รายงานว่า ในเดือนสิงหาคม 2020 เวียดนามส่งออกข้าว
ได้ประมาณ 605,566 ตัน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 26.3 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปี (มกราคม – สิงหาคม) เวียดนามส่งออกข้าวแล้วประมาณ 4.61 ล้านตัน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของ
ปีที่ผ่านมา
รัฐบาลเวียดนามได้พิจารณาโครงการจัดซื้อข้าวจากเกษตรกรเพื่อเก็บเป็นสต็อกสำรองไว้ โดยก่อนหน้านี้ ในช่วงระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2019 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2020 รัฐบาลได้นำข้าวออกจากสต็อกสำรองประมาณ 23,000 ตัน เพื่อส่งไปช่วยเหลือประชาชนในต่างจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ และอีกส่วนหนึ่งได้ส่งไปยังประเทศคิวบาเพื่อช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมการ โดยการซื้อข้าวเพื่อเก็บสำรองในครั้งนี้ เพื่อนำไปทดแทนข้าวในส่วนที่มีการนำออกมาจากคลัง โดยคณะกรรมาธิการของรัฐสภา (The National Assembly (NA) Standing Committee) ได้มีการอนุมัติงบประมาณสำหรับการจัดหาข้าวในครั้งนี้ จำนวน 274 พันล้านดอง หรือประมาณ 11.768 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ที่มา : Oryza.com
ญี่ปุ่น
กระทรวงเกษตร ประมงและป่าไม้ (The Ministry of Agriculture, Fisheries and Forests; MAFF) ประกาศผลการประมูลนำเข้าข้าวแบบ MA (Ordinary International Tenders) ครั้งที่ 2 ปีงบประมาณ 2020/21 (1 เมษายน 2020 - 31 มีนาคม 2021) เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2563 ผลการประมูลปรากฏว่า ญี่ปุ่นตกลงซื้อข้าวจำนวนรวม 54,000 ตัน ประกอบด้วย ข้าวสารเมล็ดกลางจากสหรัฐฯ จำนวน 26,000 ตัน และข้าวสารเมล็ดยาวจากประเทศไทย โดยในการประมูลครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมยื่นเสนอราคาจำนวน 31 ราย ซึ่งราคาประมูลไม่รวมภาษีเฉลี่ยอยู่ที่ 98,725 เยนต่อตัน (ประมาณ 942 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน) ถ้าเป็นราคารวมภาษีจะเฉลี่ยอยู่ที่ 106,623 เยนต่อตัน (ประมาณ 1,017 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน)
สำหรับการประมูลนำเข้าข้าวแบบ MA (ordinary international tenders) ครั้งที่ 1 ของปีงบประมาณ 2020/21 เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2563 ซึ่งกำหนดซื้อข้าวจากไทยรวม 9,320 ตัน ผลการประมูลปรากฏว่า ญี่ปุ่นตกลงซื้อข้าวจากไทยรวม 9,320 ตัน ประกอบด้วยข้าวสารเมล็ดยาว จำนวน 7,200 ตัน และข้าวเหนียวเมล็ดยาวจำนวน 2,120 ตัน ซึ่งมีผู้ยื่นเสนอราคา 14 ราย โดยราคาประมูลไม่รวมภาษีเฉลี่ยอยู่ที่ 66,482 เยนต่อตัน (ประมาณ 622 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน)
ถ้าเป็นราคารวมภาษีจะเฉลี่ยอยู่ที่ 71,801 เยนต่อตัน (ประมาณ 672 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน)
กระทรวงเกษตรฯ (the Ministry of Agriculture, Fisheries and Forests; MAFF) เปิดประมูลนำเข้าข้าวแบบ CPTPP Simultaneous Buy and Sell (SBS) tender ครั้งที่ 3 ของปีงบประมาณ 2021 (1 เมษายน 2020- 31 มีนาคม 2021) ในวันที่ 29 กันยายน 2563 ซึ่งกำหนดจะซื้อข้าวประมาณ 1,000 ตัน จากประเทศสมาชิกกลุ่ม CPTPP
ทั้งนี้ ความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (The Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership; CPTPP) เป็นความตกลงการค้าเสรีที่ครอบคลุมในเรื่องการค้า การบริการ และการลงทุนเพื่อสร้างมาตรฐานและกฎระเบียบร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิก ทั้งในประเด็น
การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา มาตรฐานแรงงาน กฎหมายสิ่งแวดล้อม รวมถึงกลไกแก้ไขข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลและ
นักลงทุนต่างชาติซึ่งริเริ่มกันมาตั้งแต่ปี 2006 มีชื่อเดิมว่า TPP (Trans-Pacific Partnership) และมีสมาชิกทั้งหมด
12 ประเทศ แต่หลังจากสหรัฐฯ ถอนตัวออกไปเมื่อต้นปี 2017 ประเทศสมาชิกที่เหลือก็ตัดสินใจเดินหน้าความตกลงต่อ
โดยใช้ชื่อใหม่ว่า CPTPP ปัจจุบัน สมาชิก CPTPP มีทั้งหมด 11 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น แคนาดา เม็กซิโก เปรู ชิลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน และเวียดนาม
นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ (MAFF) ยังได้ประกาศเปิดการประมูลนำเข้าข้าวแบบ Simultaneous Buy and Sell (SBS) tender ครั้งที่ 1 ของปีงบประมาณ 2021 (1 เมษายน 2020 - 31 มีนาคม 2021) ในวันที่ 25 กันยายน 2563 นี้ซึ่งกำหนดจะซื้อข้าวจำนวน 25,000 ตัน ประกอบด้วยข้าวกล้องหรือข้าวสาร (Whole kernel) จำนวน 22,500 ตัน และข้าวหัก/ปลายข้าว (Broken) จำนวน 2,500 ตัน กำหนดส่งมอบในวันที่ 31 ธันวาคม 2563
สำนักข่าว The Japan Times รายงานเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2563 ว่า คณะนักชีววิทยาญี่ปุ่น นำโดยองค์การวิจัยอาหารและการเกษตรแห่งชาติหรือ นาโฟร (National Agriculture and Food Research Organization : NAFRO) ประสบความสำเร็จในการค้นพบยีน ที่กำหนดมุมการเติบโตของรากข้าว โดยหวังว่าการค้นพบจะนำไปสู่ การกำเนิดข้าว
สายพันธุ์ใหม่อีกจำนวนมาก ท่ามกลางความเสี่ยงที่อาจเกิดความเสียหายจากดินเค็มมากขึ้น อันเป็นผลจากระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และพายุไต้ฝุ่น เนื่องจากภาวะโลกร้อน
นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่า น้ำเค็มจะสร้างความเสียหายแก่พื้นที่เพาะปลูกทั่วโลกประมาณครึ่งหนึ่ง ภายในปี2593 โดยพื้นที่ตามแนวชายฝั่งของญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศ รวมถึงบังกลาเทศ และเวียดนาม กำลังเผชิญกับความ
ท้าทายดังกล่าวแล้ว
นายยูซากุ อุงะ หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ของนาโฟร กล่าวว่า การปรับปรุงยีนทำให้สามารถออกแบบการเติบโตของรากข้าว เพื่อให้เหมาะกับสภาพของนาข้าวที่เพาะปลูก ยีนดังกล่าวพบในข้าวพันธุ์หนึ่งของอินโดนีเซียซึ่งรากจะเติบโตเป็นแนวนอนตามผิวดิน ดินที่มีระดับความเค็มสูง จะเหมือนกับดินในหน้าแล้ง ซึ่งป้องกันพืชไม่ให้รับน้ำ และยิ่งไปกว่านั้น ความเค็มจะทำให้ดินแข็งเกินไป และขาดออกซิเจน
ทีมนักวิทยาศาสตร์ใช้เวลา 4 ปีตั้งแต่ปี 2558 ในการเฝ้าจับตาดูข้าวพันธุ์ซาซานิชิกิ (Sasanishiki) ซึ่งผสมข้ามพันธุ์กับข้าวอินโดนีเซีย เติบโตออกรวงในนาข้าวดินเค็ม ซึ่งผลของการปรับปรุงพันธุกรรม สามารถเพิ่มผลผลิตข้าวในนาเกลือประมาณร้อยละ 15 ขณะเดียวกัน ข้าวที่ทดลองไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่าง กับการปลูกในนาข้าวดินปกติ
ที่มา : Oryza.com และเดลินิวส์
กราฟราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์และอุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 28.786 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว
2.1) การวางแผนการผลิตข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการวางแผนการผลิตข้าว ปี 2563/64
รวม 69.409 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก จำแนกเป็น รอบที่ 1พื้นที่ 59.884 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 24.738 ล้านตันข้าวเปลือก และรอบที่ 2 พื้นที่ 9.525 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 6.127 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถปรับสมดุลการผลิตได้ในการวางแผนรอบที่ 2 หากราคามีความอ่อนไหว ความต้องการใช้ข้าวลดลง และสถานการณ์น้ำน้อย รวมทั้งการปรับลดพื้นที่การปลูกข้าวไปปลูกพืชอื่น โดยจะมีการทบทวนโครงการ
ลดรอบการปลูกข้าวก่อนฤดูกาลเพาะปลูกข้าวรอบที่ 2
2.2) การจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 จำนวน 59.884 ล้านไร่ แยกเป็น 1) ข้าวหอมมะลิ 27.500 ล้านไร่ ผลผลิต 9.161 ล้านตันข้าวเปลือก 2) ข้าวหอมไทย 2.084 ล้านไร่ ผลผลิต 1.396 ล้านตันข้าวเปลือก 3) ข้าวเจ้า 13.488 ล้านไร่ ผลผลิต 8.192 ล้านตันข้าวเปลือก 4) ข้าวเหนียว 16.253 ล้านไร่ ผลผลิต 5.770 ล้านตันข้าวเปลือก และ 5) ข้าวตลาดเฉพาะ 0.559 ล้านไร่ ผลผลิต 0.219 ล้านตันข้าวเปลือก
2.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
2.4) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่โครงการส่งเสริมระบบนาแบบแปลงใหญ่โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวกข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม (กข79) และโครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าว
2.5) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย
2.6) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการชาวนาปราดเปรื่อง
2.7) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ โครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวคุณภาพดีเพื่อการแข่งขัน และโครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่มพันธุ์ใหม่
2.8) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศ
4.1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร และโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ
4.2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกและโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศ
5.1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ การเจรจาขยายตลาดข้าวและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าในต่างประเทศ โครงการกระชับความสัมพันธ์ และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทยเพื่อขยายตลาดไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น
5.2) ส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าวและนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและขยายตลาดข้าวไทยเชิงรุก โครงการผลักดันข้าวหอมมะลิไทยคุณภาพดีจากแหล่งผลิตสู่ตลาดโลก โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ โครงการจัดประชุม Thailand Rice Convention 2021 และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์
5.3) ส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐาน และปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย
5.4) ประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยในตลาดข้าวต่างประเทศ
2) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกร
ผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้
ชนิดข้าว | ราคาประกันรายได้ | ครัวเรือนละไม่เกิน |
(บาท/ตัน) | (ตัน) | |
ข้าวเปลือกหอมมะลิ | 15,000 | 14 |
ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ | 14,000 | 16 |
ข้าวเปลือกเจ้า | 10,000 | 30 |
ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี | 11,000 | 25 |
ข้าวเปลือกเหนียว | 12,000 | 16 |
2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563
2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 -
28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่
วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ
2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ ได้ประกาศราคาอ้างอิง งวดที่ 1 - 4 ทุก 15 วัน โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562 สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562 สำหรับงวดที่ 5 เป็นต้นไป ได้ปรับการประกาศใหม่เป็นทุกวันศุกร์
(ทุก 7 วัน) เพื่อให้ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในช่วงที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวและจำหน่ายข้าว
3) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิต
ให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ วงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท ดังนี้
3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม - 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม - 30 เมษายน 2563
4) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11ธันวาคม 2562 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว
ปีการผลิต 2562/63 จำนวน 26,458.89 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพ
อยู่ได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้นรวมถึง
เพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
4.1) กลุ่มเป้าหมาย เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) จำนวนประมาณ 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อยอัตราไร่ละ 500 บาทครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดยพื้นที่เพาะปลูก
ที่ได้รับการช่วยเหลือต้องไม่ซ้ำซ้อนกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติจากรัฐบาลแล้วเว้นแต่เกษตรกรจะนำพื้นที่ประสบภัยนั้นไปแจ้ง กสก. เพื่อเพาะปลูกข้าวใหม่ทันในช่วงเวลาเพาะปลูกรอบที่ 1
4.2) ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 30 กันยายน 2563
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 12,958 บาท ราคาลดลงจากตันละ 13,412 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.38
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 9,305 บาท ราคาลดลงจากตันละ 9,307 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.02
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 31,050 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,990 บาท ราคาลดลงจากตันละ 14,110 บาท ในสัปดาห์ก่อน
ร้อยละ 0.85
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 922 ดอลลาร์สหรัฐฯ (28,639 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 931 ดอลลาร์สหรัฐฯ (28,843 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.97 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ204 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 492 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,282 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 513 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,893 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.09 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 611 บาท
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 477 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,816 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 494 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,305 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.44 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 489 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 505 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,686 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 509 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,769 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.79 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 83 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 31.0617 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
เวียดนาม
วงการค้าข้าวคาดการณ์ว่า ราคาข้าวปรับตัวลดลงเนื่องจากผลผลิตข้าวฤดูใหม่ คือ ฤดูใบไม้ร่วง-ฤดูหนาว
(The Autumn-Winter Crop) ออกสู่ตลาด ขณะที่ในต่างประเทศมีความต้องการข้าวลดลง โดยข้าวขาว 5% ราคาอยู่ที่ประมาณ 485-490 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน ลดลงจาก 490-495 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อน โดยผู้ซื้อข้าวรายใหญ่อย่างประเทศฟิลิปปินส์ จะชะลอการซื้อข้าวไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน เนื่องจากจะมีการเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวภายในประเทศ
กรมศุลกากรเวียดนาม (The Customs Department) รายงานว่า ในเดือนสิงหาคม 2020 เวียดนามส่งออกข้าว
ได้ประมาณ 605,566 ตัน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 26.3 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปี (มกราคม – สิงหาคม) เวียดนามส่งออกข้าวแล้วประมาณ 4.61 ล้านตัน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของ
ปีที่ผ่านมา
รัฐบาลเวียดนามได้พิจารณาโครงการจัดซื้อข้าวจากเกษตรกรเพื่อเก็บเป็นสต็อกสำรองไว้ โดยก่อนหน้านี้ ในช่วงระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2019 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2020 รัฐบาลได้นำข้าวออกจากสต็อกสำรองประมาณ 23,000 ตัน เพื่อส่งไปช่วยเหลือประชาชนในต่างจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ และอีกส่วนหนึ่งได้ส่งไปยังประเทศคิวบาเพื่อช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมการ โดยการซื้อข้าวเพื่อเก็บสำรองในครั้งนี้ เพื่อนำไปทดแทนข้าวในส่วนที่มีการนำออกมาจากคลัง โดยคณะกรรมาธิการของรัฐสภา (The National Assembly (NA) Standing Committee) ได้มีการอนุมัติงบประมาณสำหรับการจัดหาข้าวในครั้งนี้ จำนวน 274 พันล้านดอง หรือประมาณ 11.768 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ที่มา : Oryza.com
ญี่ปุ่น
กระทรวงเกษตร ประมงและป่าไม้ (The Ministry of Agriculture, Fisheries and Forests; MAFF) ประกาศผลการประมูลนำเข้าข้าวแบบ MA (Ordinary International Tenders) ครั้งที่ 2 ปีงบประมาณ 2020/21 (1 เมษายน 2020 - 31 มีนาคม 2021) เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2563 ผลการประมูลปรากฏว่า ญี่ปุ่นตกลงซื้อข้าวจำนวนรวม 54,000 ตัน ประกอบด้วย ข้าวสารเมล็ดกลางจากสหรัฐฯ จำนวน 26,000 ตัน และข้าวสารเมล็ดยาวจากประเทศไทย โดยในการประมูลครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมยื่นเสนอราคาจำนวน 31 ราย ซึ่งราคาประมูลไม่รวมภาษีเฉลี่ยอยู่ที่ 98,725 เยนต่อตัน (ประมาณ 942 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน) ถ้าเป็นราคารวมภาษีจะเฉลี่ยอยู่ที่ 106,623 เยนต่อตัน (ประมาณ 1,017 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน)
สำหรับการประมูลนำเข้าข้าวแบบ MA (ordinary international tenders) ครั้งที่ 1 ของปีงบประมาณ 2020/21 เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2563 ซึ่งกำหนดซื้อข้าวจากไทยรวม 9,320 ตัน ผลการประมูลปรากฏว่า ญี่ปุ่นตกลงซื้อข้าวจากไทยรวม 9,320 ตัน ประกอบด้วยข้าวสารเมล็ดยาว จำนวน 7,200 ตัน และข้าวเหนียวเมล็ดยาวจำนวน 2,120 ตัน ซึ่งมีผู้ยื่นเสนอราคา 14 ราย โดยราคาประมูลไม่รวมภาษีเฉลี่ยอยู่ที่ 66,482 เยนต่อตัน (ประมาณ 622 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน)
ถ้าเป็นราคารวมภาษีจะเฉลี่ยอยู่ที่ 71,801 เยนต่อตัน (ประมาณ 672 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน)
กระทรวงเกษตรฯ (the Ministry of Agriculture, Fisheries and Forests; MAFF) เปิดประมูลนำเข้าข้าวแบบ CPTPP Simultaneous Buy and Sell (SBS) tender ครั้งที่ 3 ของปีงบประมาณ 2021 (1 เมษายน 2020- 31 มีนาคม 2021) ในวันที่ 29 กันยายน 2563 ซึ่งกำหนดจะซื้อข้าวประมาณ 1,000 ตัน จากประเทศสมาชิกกลุ่ม CPTPP
ทั้งนี้ ความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (The Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership; CPTPP) เป็นความตกลงการค้าเสรีที่ครอบคลุมในเรื่องการค้า การบริการ และการลงทุนเพื่อสร้างมาตรฐานและกฎระเบียบร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิก ทั้งในประเด็น
การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา มาตรฐานแรงงาน กฎหมายสิ่งแวดล้อม รวมถึงกลไกแก้ไขข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลและ
นักลงทุนต่างชาติซึ่งริเริ่มกันมาตั้งแต่ปี 2006 มีชื่อเดิมว่า TPP (Trans-Pacific Partnership) และมีสมาชิกทั้งหมด
12 ประเทศ แต่หลังจากสหรัฐฯ ถอนตัวออกไปเมื่อต้นปี 2017 ประเทศสมาชิกที่เหลือก็ตัดสินใจเดินหน้าความตกลงต่อ
โดยใช้ชื่อใหม่ว่า CPTPP ปัจจุบัน สมาชิก CPTPP มีทั้งหมด 11 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น แคนาดา เม็กซิโก เปรู ชิลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน และเวียดนาม
นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ (MAFF) ยังได้ประกาศเปิดการประมูลนำเข้าข้าวแบบ Simultaneous Buy and Sell (SBS) tender ครั้งที่ 1 ของปีงบประมาณ 2021 (1 เมษายน 2020 - 31 มีนาคม 2021) ในวันที่ 25 กันยายน 2563 นี้ซึ่งกำหนดจะซื้อข้าวจำนวน 25,000 ตัน ประกอบด้วยข้าวกล้องหรือข้าวสาร (Whole kernel) จำนวน 22,500 ตัน และข้าวหัก/ปลายข้าว (Broken) จำนวน 2,500 ตัน กำหนดส่งมอบในวันที่ 31 ธันวาคม 2563
สำนักข่าว The Japan Times รายงานเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2563 ว่า คณะนักชีววิทยาญี่ปุ่น นำโดยองค์การวิจัยอาหารและการเกษตรแห่งชาติหรือ นาโฟร (National Agriculture and Food Research Organization : NAFRO) ประสบความสำเร็จในการค้นพบยีน ที่กำหนดมุมการเติบโตของรากข้าว โดยหวังว่าการค้นพบจะนำไปสู่ การกำเนิดข้าว
สายพันธุ์ใหม่อีกจำนวนมาก ท่ามกลางความเสี่ยงที่อาจเกิดความเสียหายจากดินเค็มมากขึ้น อันเป็นผลจากระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และพายุไต้ฝุ่น เนื่องจากภาวะโลกร้อน
นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่า น้ำเค็มจะสร้างความเสียหายแก่พื้นที่เพาะปลูกทั่วโลกประมาณครึ่งหนึ่ง ภายในปี2593 โดยพื้นที่ตามแนวชายฝั่งของญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศ รวมถึงบังกลาเทศ และเวียดนาม กำลังเผชิญกับความ
ท้าทายดังกล่าวแล้ว
นายยูซากุ อุงะ หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ของนาโฟร กล่าวว่า การปรับปรุงยีนทำให้สามารถออกแบบการเติบโตของรากข้าว เพื่อให้เหมาะกับสภาพของนาข้าวที่เพาะปลูก ยีนดังกล่าวพบในข้าวพันธุ์หนึ่งของอินโดนีเซียซึ่งรากจะเติบโตเป็นแนวนอนตามผิวดิน ดินที่มีระดับความเค็มสูง จะเหมือนกับดินในหน้าแล้ง ซึ่งป้องกันพืชไม่ให้รับน้ำ และยิ่งไปกว่านั้น ความเค็มจะทำให้ดินแข็งเกินไป และขาดออกซิเจน
ทีมนักวิทยาศาสตร์ใช้เวลา 4 ปีตั้งแต่ปี 2558 ในการเฝ้าจับตาดูข้าวพันธุ์ซาซานิชิกิ (Sasanishiki) ซึ่งผสมข้ามพันธุ์กับข้าวอินโดนีเซีย เติบโตออกรวงในนาข้าวดินเค็ม ซึ่งผลของการปรับปรุงพันธุกรรม สามารถเพิ่มผลผลิตข้าวในนาเกลือประมาณร้อยละ 15 ขณะเดียวกัน ข้าวที่ทดลองไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่าง กับการปลูกในนาข้าวดินปกติ
ที่มา : Oryza.com และเดลินิวส์
กราฟราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดภายในประเทศในช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้
ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.70 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 7.52 ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.39 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ ความชื้นเกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.29 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 6.14 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.44
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.54 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 9.27 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.91 และราคาขายส่งไซโลรับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.71 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 8.48 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.71
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 314.40 ดอลลาร์สหรัฐ (9,766 บาท/ตัน) เพิ่มขึ้นจากตันละ 307.20 ดอลลาร์สหรัฐ (9,517 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.34 และเพิ่มขึ้นในรูปของเงินบาท ตันละ 249 บาท
2. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในต่างประเทศ
กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ คาดคะเนความต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของโลก ปี 2563/64 มีปริมาณ 1,164.74 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 1,124.23 ล้านตัน ในปี 2562/63 ร้อยละ 3.60 โดยสหรัฐอเมริกา จีน สหภาพยุโรป บราซิล เม็กซิโก อินเดีย อียิปต์ เวียดนาม อาร์เจนตินา แคนาดา อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ ไนจีเรีย และอิหร่าน มีความต้องการใช้เพิ่มขึ้น สำหรับการค้าของโลกมี 184.97 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 175.22 ล้านตัน ในปี 2562/63 ร้อยละ 5.56 โดยสหรัฐอเมริกา บราซิล ยูเครน เซอร์เบีย ปารากวัย และแคนาดา ส่งออกเพิ่มขึ้น ประกอบกับผู้นำเข้า เช่น สหภาพยุโรป เม็กซิโก เกาหลีใต้ อียิปต์ อิหร่าน โคลอมเบีย แอลจีเรีย ไต้หวัน เปรู ซาอุดีอาระเบีย มาเลเซีย โมร็อกโก ชิลี อิสราเอล บราซิล โดมินิกัน กัวเตมาลา และตูนิเซีย มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนธันวาคม 2563 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกันชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 369.80 เซนต์ (4,584 บาท/ตัน) ลดลงจากบุชเชลละ 370.12 เซนต์ (4,577 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.09 และเพิ่มขึ้นในรูปของเงินบาทตันละ 27 บาท
มันสำปะหลัง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลัง ปี 2563 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 – กันยายน 2563) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.70 ล้านไร่ ผลผลิต 27.347 ล้านตัน ผลผลลิตต่อไร่ 3.14 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.67 ล้านไร่ ผลผลิต 31.080 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.59 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.35 แต่ผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ ลดลงร้อยละ 11.98 และร้อยละ 12.45 ตามลำดับ โดยเดือนกันยายน 2563 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 0.68 ล้านตัน (ร้อยละ 2.52 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2563 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2563 ปริมาณ 18.40 ล้านตัน (ร้อยละ 64.50 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
ผลผลิตมันสำปะหลังออกสู่ตลาดน้อยเนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดูกาลเก็บเกี่ยว และหัวมันสำปะหลังมีเชื้อแป้งต่ำ
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.78 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 1.75 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 1.71
ราคามันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.17 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 6.12 บาท
ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.82
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.11 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 7.09 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 0.28
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 13.05 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 250 ดอลลาร์สหรัฐฯ (7,765 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัว เท่ากับสัปดาห์ก่อนในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (7,745 บาทต่อตัน)
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 443 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,760 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อนในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (13,725 บาทต่อตัน)
ปาล์มน้ำมัน
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2563 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนกันยายนจะมีประมาณ 1.348 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.243 ล้านตัน ลดลงจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.367 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.246 ล้านตัน ของเดือนสิงหาคม คิดเป็นร้อยละ 1.39 และร้อยละ 1.22 ตามลำดับ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 4.22 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 4.07 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 3.69
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 25.35 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 22.95 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 10.46
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
อินโดนีเซียมีการส่งออกน้ำมันปาล์มไปจีนและตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น การส่งออกไปจีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 43 และตะวันออกกลางร้อยละ 65 ความต้องการจากประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่ อินเดียและจีน เพิ่มขึ้น และราคาน้ำมันถั่วเหลืองที่สูงขึ้น ทำให้ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มสูงขึ้น
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 3,006.09 ดอลลาร์มาเลเซีย (23.08 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 2,993.88 ดอลลาร์มาเลเซีย (22.88 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.41
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 759.38 ดอลลาร์สหรัฐฯ (23.91 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 745.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (23.40 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.93
หมายเหตุ : ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 5 วัน
อ้อยและน้ำตาล
- สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
ไม่มีรายงาน
- สรุปภาวการณ์ผลิตการตลาดและราคาในต่างประเทศ
ถั่วเหลือง
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละสัปดาห์นี้ ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 1019.96 เซนต์ (11.80 บาท/กก.) สูงขึ้นจากบุชเชลละ 1011.12 เซนต์ (11.67 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.87
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 336.80 ดอลลาร์สหรัฐฯ (10.60 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 320.02 ดอลลาร์สหรัฐฯ (10.05 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 5.24
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 33.64 เซนต์ (23.34 บาท/กก.) ลดลงจากปอนด์ละ 34.39 เซนต์ (23.81 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.18
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละสัปดาห์นี้ ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 1019.96 เซนต์ (11.80 บาท/กก.) สูงขึ้นจากบุชเชลละ 1011.12 เซนต์ (11.67 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.87
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 336.80 ดอลลาร์สหรัฐฯ (10.60 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 320.02 ดอลลาร์สหรัฐฯ (10.05 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 5.24
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 33.64 เซนต์ (23.34 บาท/กก.) ลดลงจากปอนด์ละ 34.39 เซนต์ (23.81 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.18
ยางพารา
สับปะรด
ถั่วเขียว
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 20.30 บาท สูงขึ้นจากราคากิโลกรัมละ 20.00 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.50
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ และถั่วเขียวผิวดำคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 27.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 17.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 37.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,064.40 ดอลลาร์สหรัฐ (33.06 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 1,066.20 ดอลลาร์สหรัฐ (33.03 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.17 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.03 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 902.20 ดอลลาร์สหรัฐ (28.02 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 903.80 ดอลลาร์สหรัฐ (28.00 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.18 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.02 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,064.40 ดอลลาร์สหรัฐ (33.06 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 1,066.20 ดอลลาร์สหรัฐ (33.03 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.17 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.03 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 577.60 ดอลลาร์สหรัฐ (17.94 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 578.60 ดอลลาร์สหรัฐ (17.93 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.17 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.01 บาท
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,220.40 ดอลลาร์สหรัฐ (37.91 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 1,222.40 ดอลลาร์สหรัฐ (37.87 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.16 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.04 บาท
ถั่วลิสง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 51.14 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 41.81 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 22.32
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 27.91 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 21.54 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 29.57
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 60.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 56.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ฝ้าย
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้
ราคาฝ้ายรวมเมล็ดชนิดคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้าตลาดนิวยอร์ก (New York Cotton Futures)
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้า เพื่อส่งมอบเดือนตุลาคม 2563 สัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 64.19 เซนต์(กิโลกรัมละ 44.56 บาท) ลดลงจากปอนด์ละ 64.85 เซนต์ (กิโลกรัมละ 44.99 บาท) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.02 (ลดลงในรูปของเงินบาทกิโลกรัมละ 0.43 บาท)
ไหม
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,892 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 1,895 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.16
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,503 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 900 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 897 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.33
ปศุสัตว์
สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
ภาวะตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการบริโภคเนื้อสุกรใกล้เคียงกับปริมาณผลผลิตสุกรที่ออกสู่ตลาด แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 77.71 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 77.64 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.09 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 73.52 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 70.27 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 80.09 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 78.80 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 2,800 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 78.50 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 79.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.26
ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ลดลงจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากปริมาณไก่เนื้อและชิ้นส่วนต่างๆของไก่เนื้อออกสู่ตลาดมาก ขณะที่ความต้องการบริโภคลดลงเพราะผู้บริโภคบางส่วนหันไปบริโภคอาหารและสัตว์น้ำตามธรรมชาติ แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะลดลงเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 33.94 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 34.79บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 2.44 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 35.00 บาท กิโลกรัม ภาคกลาง กิโลกรัมละ 33.01 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 42.26 บาท และภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 7.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.50 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 33.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 2.99 และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 50.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สถานการณ์ตลาดไข่ไก่สัปดาห์นี้ ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ลดลงจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจาก เข้าสู่ฤดูฝนและเกิดพายุในหลายพื้นที่ การซื้อขายไม่คล่องตัว ประกอบกับมีอาหารและสัตว์น้ำตามธรรมชาติมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการบริโภคลดลง แนวโน้มคาดว่าสัปดาห์หน้าราคาจะลดลง
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 280 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 288 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 2.78 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 300 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 278 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 275 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 305บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 318 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 4.09
ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 343 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 360 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 352 บาท ภาคกลาง ร้อยฟองละ 319 บาท และภาคใต้ ร้อยฟองละ 355 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 380 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 94.95 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 93.43 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.63 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.71 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 97.64 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 89.01 บาท และภาคใต้ ไม่มีรายงานราคา
กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 77.63 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 76.71 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.20 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.58 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 75.13 บาท ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงานราคา
ประมง
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 18 – 24 กันยายน 2563) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 45.00 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 50.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 5.00 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 90.06 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 87.49 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.57 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท ราคา ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 137.67 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 138.84 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.17 บาท
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 135.83 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 135.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.83 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง) ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 65.43 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 70.80 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 5.37 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 85.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง) ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 200.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.23 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 33.00 บาท และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 27.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 18 – 24 กันยายน 2563) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 45.00 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 50.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 5.00 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 90.06 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 87.49 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.57 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท ราคา ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 137.67 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 138.84 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.17 บาท
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 135.83 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 135.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.83 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง) ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 65.43 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 70.80 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 5.37 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 85.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง) ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 200.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.23 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 33.00 บาท และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 27.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา